ในตลาดเกมมิ่งเกียร์ เกมมิ่งคีย์บอร์ดจาก HyperX ก็จัดว่าเป็นอีกค่ายที่สร้างสีสันให้กับการเล่นเกม รวมถึงให้การใช้งานด้วยคีย์บอร์ดหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะคนที่ชื่นชอบความโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ และปุ่มคีย์แบบ Mechanical ทาง HyperX ก็มีให้เลือกมากมาย ซึ่งในปัจจุบันก็มีคีย์สวิทช์เป็นของตนเอง และได้การยอมรับจากผู้ใช้ทั่วโลก ในด้านคุณสมบัติและความทนทาน อันเป็นเรื่องที่เกมเมอร์ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญ
HyperX Alloy Elite 2 เป็นคีย์บอร์ดเกมมิ่งกึ่งมัลติมีเดียใหม่ล่าสุด ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นานนี้ จัดอยู่ในโพสิชั่นที่เรียกว่าฮาร์ดคอร์เกมเมอร์ และสตรีมเมอร์ ที่ต้องการอัตราตอบสนองที่รวดเร็ว เพราะนอกจากคีย์สวิทช์ในแบบ Mechanical ของทาง HyperX เอง ที่ให้ความสวยงามและตอบสนองได้ไว ยังมาพร้อมปุ่มมัลติมีเดียคีย์ขนาดใหญ่ โดยเป็นคีย์ในกลุ่มของ Linear เน้นเสียงเบา แต่ยังกดสนุกได้อารมณ์ และไฟคีย์บอร์ด RGB ที่ให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งเองได้ผ่านทางซอฟต์แวร์ HyperX NGENUITY จุดเด่นอยู่ที่ฝาครอบสวิทช์ที่เรียกว่า HyperX Pudding Keycap จึงช่วยเพิ่มความสว่างให้กับปุ่มได้มากกว่าปุ่มที่เป็นสีดำทึบ ที่เราเคยเห็นกันทั่วไปในรุ่นที่ผ่านมาๆ มานั่นเอง นอกจากนี้ยังมาพร้อมการปรับแต่งมาโครได้อีกด้วย โครงสร้างเป็นโลหะที่แข็งแรงทนทาน มีน้ำหนักพอสมควร เพิ่มความมั่นคง และสายต่อขนาดใหญ่ แข็งแรงทนทาน ทั้งแรงดึงและการขูดขีดอีกด้วย รองรับการใช้งานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์งาน ไปจนถึงการเล่นเกมแบบจริงจัง
Specification
- สวิตช์ควบคุม: สวิตช์ควบคุมจาก HyperX
- ประเภท: กลไก
- ไฟพื้นหลัง: RGB (16,777,216 สี)
- เอฟเฟกต์ไฟส่องสว่าง: ไฟ RGB ทุกปุ่ม2 ปรับความสว่างได้ 5 ระดับ
- หน่วยความจำในตัว: 3 โพรไฟล์การทำงาน
- USB 2.0 Pass-through: มี
- Anti-ghosting: 100% anti-ghosting
- Key Rollover: โหมด N-key
- ไฟสถานะ LED: มี
- ระบบควบคุมมีเดีย: มี
- โหมดเกม: มี
- OS ที่รองรับ: Windows® 10, 8.1, 8, 7
- สวิตช์ควบคุม: HyperX Red
- รูปแบบการทำงาน: Linear
- แรงกดสั่งการ: 45 ก.
- จุดสั่งการ: 1.8 มม.
- ระยะเคลื่อนทั้งหมด: 3.8 มม.
- อายุการใช้งาน (กดใช้งาน): 80 ล้านครั้ง
- ประเภท: แบบถัด ถอดแยกไม่ได้
- ความยาว: 1.8 ม.
- ขนาด: 444.0 มม. x 174.0 มม. x 37.4 มม.
- น้ำหนัก (คีย์บอร์ดและสายสัญญาณ): 1530 ก.
- ฝาครอบปุ่ม วัสดุ: ABS
การออกแบบและฟังก์ชั่น
แพ็คเกจของ HyperX Alloy Elite 2 มาในสไตล์ที่คุ้นตากันดี กับโทนสีขาว ตัดด้วยสีแดง ให้กราฟิกของคีย์บอร์ดมาชัดเจน พร้อมฟีเจอร์เบื้องต้นมาบนหน้ากล่อง
ระบุไว้บนมุมกล่องเลยว่า เป็นคีย์สวิทช์ HyperX Red ทำงานในแบบ Linear เน้นกดสนุก เสียงรบกวนน้อย หรือไม่เน้นเสียงคลิ๊ก ต่างจากในแบบ Tactile อย่างชัดเจน พร้อมโลโก้ RGB และซอฟต์แวร์ NGENUITY
ส่วนมุมกล่องด้านซ้าย จะบอกถึงรุ่น Alloy Elite 2
ด้านหลังก็เช่นเคย บอกรายละเอียดของคีย์บอร์ด ทั้งในเรื่องของปุ่ม ฟีเจอร์ วัสดุและฟังก์ชั่น รวมถึงสวิทช์ในแบบต่างๆ เช่น Red, Green และ Blue
แกะกล่องด้านในค่อนข้างเรียบง่าย อุปกรณ์ก็จะเป็นตัวหลัก Alloy Elite 2 ที่มาพร้อมซองพลาสติกใสหุ้มมาด้วย เรียกว่าใหม่กริ๊บ
สิ่งที่มีมาด้วยก็จะเป็นคู่มือการใช้งาน ระบุรายละเอียดมาให้ครบ สิ่งนี้ถ้าคุณไม่คุ้นเคยกับปุ่มหรือใช้งานเกมมิ่งคีย์บอร์ด อาจจะลองดูเป็นไกด์ในช่วงแรก ช่วยให้การใช้งานง่ายขึ้น
เมื่อแกะคีย์บอร์ดออกจากห่อพลาสติก ก็จะเห็นความสวยงามของตัวคีย์บอร์ด ซึ่งเราจะค่อนข้างแปลกตาเล็กน้อย เพราะปุ่มนั้นจะมีแถบสีขาวประมาณครึ่งของปุ่ม เดี๋ยวเราจะมาเฉลยว่าทำไมเป็นแบบนั้น
หน้าตาของปุ่มบนคีย์บอร์ด ทาง HyperX เรียกว่า Pudding Keycap ซึ่งถ้ามองจากมุมนี้ จะเห็นว่าคล้ายกับขนาดที่เรียกว่าพุดดิ้ง ที่หลายๆ คนชอบ เพราะมีแถบสีดำด้านบนเท่านั้น
ถัดมาด้านมุมบนซ้าย จะเป็นปุ่มที่ใช้ในการปรับแต่งแสงไฟและสีของปุ่มบนคีย์บอร์ด ประกอบด้วย ความสว่าง โหมดแสงไฟ และ Gaming Mode มีเพียง 3 ปุ่มนี้เท่านั้น ที่ไม่มีแสงไฟ RGB
ซึ่งการใช้งานนั้น ปุ่มซ้ายสุดรูปดวงอาทิตย์ จะใช้สำหรับการปรับความสว่างของปุ่มบนคีย์บอร์ด แบ่งเป็น 4 ระดับ ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบ ให้สว่างมากหรือน้อย ก็สามารถเลือกได้เอง ถัดมาเป็นรูปวงกลม 3 วงคล้องกันนั้น จะเป็นปุ่มปรับโหมดของแสงไฟ RGB ปรับโหมดได้ตามโพรไฟล์ที่บันทึกไว้บนหน่วยความจำบนตัวคีย์บอร์ดได้ 3 รูปแบบ ผ่านทางซอฟต์แวร์ และปุ่มสุดท้ายคือ Game Mode สำหรับการเล่นเกม เพื่อป้องกันความผิดพลาดในขณะที่กดปุ่มอื่นๆ โดยจะปิดการทำงานของปุ่ม Windows เพื่อป้องกันการกดพลาด พร้อมกับฟีเจอร์สำคัญ คือ Anti-Ghosting และ N-key rollover ในการกดปุ่มได้พร้อมๆ กัน ไม่ทำให้ระบบแจ้งเตือน ขณะที่เล่นเกมอยู่นั่นเอง
ส่วนปุ่มทางด้านขวามือ จะเป็นปุ่มมัลติมีเดีย มีอยู่ด้วยกัน 4 ปุ่ม ประกอบด้วย RW, Play/Pause, FW และ เปิดปิดเสียง ส่วนด้านขวาสุด จะเป็นปุ่มหมุนในการปรับระดับเสียง คล้ายกับใน Elite รุ่นแรก
พอร์ตต่อพ่วงเป็นแบบ USB 2.0 แยกออกเป็น 2 หัว ใช้สำหรับเป็นช่องสัญญาณปกติ และสำหรับการใช้เป็น USB port บนตัวคีย์บอร์ด เพื่อใช้ในการเชื่อมต่ออุปกรณ์อื่นๆ เช่น เมาส์ หรือหูฟังที่เป็นพอร์ต USB
ด้านใต้มาพร้อมฟีตที่เป็นยางสีดำ ในการจับยึดกับโต๊ะได้แน่นหนา จำนวน 4 จุด เท่าที่ลองใช้ จัดว่ายึดเกาะกับโต๊ะได้แน่นหนา ยิ่งรวมกับน้ำหนักของตัวคีย์บอร์ด ก็แทบไม่ทำให้เลื่อนไปมาได้เลย
ด้านใต้มีชุดขาตั้ง 2 จุด สำหรับยกให้คีย์บอร์ดมีความลาดเอียง เพื่อรับเข้ากับการพิมพ์ แต่ปรับได้เพียงระดับเดียวเท่านั้น
การติดตั้งและใช้งาน
เมื่อต่อสายเข้ากับคอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุ๊ค ระบบตรวจสอบพบ ก็พร้อมสำหรับการใช้งานแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อมาคือ ดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ HyperX NGENUITY มาติดตั้ง เพื่อใช้ในการปรับแต่งต่อไป
เมื่อติดตั้งซอฟต์แวร์นี้แล้ว ระบบจะตรวจสอบอุปกรณ์ที่รองรับและเชื่อมต่อ เช่น ในครั้งนี้ ตรวจพบ คีย์บอร์ด Alloy Elite 2 และเมาส์ Pulsefire Core โดยจะปรากฏหน้าตาของคีย์บอร์ด ให้เราเห็นเอฟเฟกต์ที่เป็นค่าดั้งเดิมในตอนแรก โปรแกรมนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักคือ Lights และ Key โดยในส่วนของ Lights จะให้คุณปรับแสงสีไฟ RGB ได้หลายรูปแบบ ส่วน Key จะใช้ในการปรับมาโครสำหรับปุ่มต่างๆ เพื่อใช้ภ่ยในเกม และยังสามารถเก็บเป็นโพรไฟล์เอาไว้บนคีย์บอร์ด นำไปใช้กับคอมเครื่องอื่นๆ ได้อีกด้วย แค่คลิ๊กที่ Preset มุมบนขวาของโปรแกรมเท่านั้น
ทดสอบใช้งาน
ทำความรู้จักกับฟีเจอร์พื้นฐานกันไปแล้ว คราวนี้เรามาลองใช้งานกันดีกว่า เริ่มต้นต้องบอกก่อนว่า Red switch ที่อยู่บนคีย์บอร์ดรุ่นนี้ เป็นของทาง HyperX เองเลย โดยออกมาใน 3 รูปแบบด้วยกันคือ Red, Green และ Blue ด้วยเอกลักษณ์ของ Red จะคล้ายกับที่มีในท้องตลาด อารมณ์จะไม่ต่างกันมาก โดยเป็นคีย์ที่เน้นความเรียบง่าย เข้าได้ทั้งงานและการเล่นเกม
เรื่องความอึดทนก็จัดว่าดี รองรับการคลิ๊กได้ถึง 80 ล้านครั้ง ระยะตอบสนองอยู่ที่ราง 1.8mm ตามมาตรฐาน ส่วนระยะของ Travel จะขยับไปที่ 3.8mm เนื่องจากเป็นแบบ Linear ก็เลยจะสั้นกว่า Tactile ที่มี 2 จังหวะ ความรู้สึกในการกด จะไม่เชิงว่าวืดยุบลงไปทีเดียว แต่จะมีเสียงเล็กๆ พอให้สนุกสนาน แต่ในแง่ของการพิมพ์งานหรือใช้คีย์บ่อยๆ ก็ไม่ได้สร้างความรำคาญให้กับคนรอบข้างมากนัก อย่างไรก็ดี ถ้าจะเน้นความสนุกสนาน และอยากได้จังหวะการคลิ๊กที่ตื่นเต้น ในแบบ Tactile ก็อาจจะต้องมองสวิทช์ตัวอื่นแทน
ในแง่ของสีสัน บอกเลยว่าจัดเต็ม ยิ่งถ้าปรับความสว่างแบบสุด ในห้องมืดๆ เผลอๆ เจอจ้ายิ่งกว่าไฟ RGB ในคอมด้วยซ้ำไป ด้วยข้อดีของปุ่มที่เรียกว่า Pudding Keycap น่าจะทำให้ใครที่ชื่นชอบความหวือหวา สะดุดตา เอามาใช้แต่งห้องด้วย น่าจะรักคีย์บอร์ดรุ่นนี้
หลังจากได้ดูข้อมูลของคีย์สวิทช์และรูปแบบของปุ่มแล้ว ก็มาลองเล่นเกมกันดูบ้าง โดยได้ลองทั้งบนแพลตฟอร์ม พีซี และโน๊ตบุ๊ค รวมถึงมีทั้งเซ็ต Intel และ AMD ซึ่งทุกแพลตฟอร์ม สามารถตรวจพบคีย์บอร์ดและพร้อมใช้ได้ทันที ที่เหลือคือ การลงซอฟต์แวร์ สำหรับการปรับแต่งแสงไฟ และมาโครเท่านั้น
อารมณ์ในการเล่นนั้น ดูจะสัมพันธ์ไปกับแสงไฟและการกด แม้จะไม่ได้เป็นแบบ Tactile แต่ก็กดสนุกได้เช่นกัน ขาดแค่เสียงจังหวะแรกไป ระยะตอบสนองค่อนข้างไว ไม่ว่าจะเป็นการเล่น PUBG หรือ Battlefield V และ COD: Warzone สามารถไหลลื่นไปกับการเล่น รวมถึงการเปลี่ยนอาวุธและ Reload กันแบบด่วนๆ ก็กดได้มันส์ ไม่ต้องเสียจังหวะ ยิ่งถ้าลองปรับแสงไฟคีย์บอร์ดให้สว่างขึ้นอีกนิด ปรับเอฟเฟกต์ให้เข้ากัน ก็จะยิ่งสนุกเร้าใจกว่าเดิม สำหรับคนที่เล่นเกมแนวแอ็คชั่น หรือแข่งรถ Racing ก็น่าจะชื่นชอบ เพราะการคอนโทรลไม่แกว่ง ไม่หน่วงรอจังหวะมากนัก โดยเฉพาะช่วงคับขัน แค่เสี้ยววินาทีก็ชี้ชะตากันได้เลย ส่วนในเกมวางแผนหรือ MMORPG หรือแนว MOBA ก็สนุกดีทีเดียว เพราะเกมนี้สามารถตั้งมาโครให้กับการใช้งานได้สะดวกกว่า สร้างโอกาสชนะได้อีกเยอะ แต่ถ้าใครเน้นใช้สกิลเยอะๆ อาจจะลดแสงไฟ เพื่อป้องกันการกดผิดสลับปุ่ม
ในส่วนของปุ่มต่างๆ ก็ใช้ง่ายมากๆ เมื่อเทียบกับ Alloy Elite ในรุ่นก่อน โดยเฉพาะปุ่มมัลติมีเดีย ใกล้มือและแยกสัดส่วนไว้ชัดเจน แม้เลย์เอาท์การวางปุ่มแทบจะไม่ต่างกัน แต่ด้วยสีสันในโทนสีที่ตัดกับบอดี้อย่างเห็นได้ชัด ก็สร้างจุดสังเกตได้ชัดเจนขึ้น แค่เหลือบตาไปมองก็พอ โดยปุ่มเหล่านี้สามารถใช้ได้แบบเรียลไทม์ เรียกใช้ได้ทันที ไม่ว่าคุณจะอยู่ในโหมดใดก็ตาม
HyperX NGENUITY
ต้องยอมรับว่า HyperX มีการปรับปรุงซอฟต์แวร์อยู่ตลอดเวลา โดยอินเทอร์เฟส ค่อนข้างจะเป็นกันเองกับผู้ใช้ ไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องลังเลกับการปรับแต่ง หัวข้อหลักจะมี 2 ส่วนคือ Lights และ Key ตามที่ได้อธิบายไปในข้างต้น ปรับแสงไฟ RGB ใช้ Lights ส่วนตั้งมาโครเลือก Key
ในส่วนของแสงไฟ ด้านซ้ายมือจะมีให้เลือกอุปกรณ์ เมาส์หรือคีย์บอร์ด และถ้ามีสิ่งอื่นๆ ที่รองรับการใช้งานร่วม ก็จะปรากฏขึ้นด้วย แต่ถ้าจะปรับแต่ง Keyboard รุ่นนี้ เลือกที่ Light แล้วไปที่ Effect ได้เลย ชอบสไตล์ไหน เอฟเฟกต์อะไร ก็กด + Add Effect เข้าไป ถ้าไม่ต้องใช้เอฟเฟกต์ใด จะเลือกกดที่รูปดวงตา เพื่อไม่ให้แสดงเอฟเฟกต์นั้น หรือถ้าไม่ใช้ก็กดสัญลักษณ์ Bin ได้ทันที ส่วนถ้าต้องการปรับแบบละเอียด ให้เลือกที่ Color และปรับเพิ่ม-ลดความเร็วได้อีกด้วย
เมื่อปรับเสร็จแล้ว จะคลิ๊กเพื่อเก็บเป็น Preset ของตัวเองไว้บนคีย์บอร์ดก็ได้ ซึ่งเมื่อปรับแต่งแล้ว ก็จะเห็นหน้าตาของคีย์บอร์ดเปลี่ยนไปตามเอฟเฟกต์ที่เลือก สวยงามเลยทีเดียว
นอกจากนี้ HyperX NGENUITY ยังให้ผู้ใช้ตั้งค่าต่างๆ ของซอฟต์แวร์ตามความเหมาะสมได้
Conclusion
ในภาพรวมของ HyperX Alloy Elite 2 หลังจากที่ได้ใช้มาประมาณ 10 วัน ว่ากันที่ความรู้สึกก่อน คงต้องบอกว่า แทบจะไม่ได้ต่างไปจาก Alloy Core หรือ Alloy FPS ที่ใช้สวิทช์ Cherry มากมายนัก ทั้งจังหวะการกด หรือน้ำหนัก รวมถึงการตอบสนอง เรียกว่าถ้าไม่ได้ระบุมาหน้ากล่อง ก็ดูได้ยากทีเดียว อย่างไรก็ดีในแง่ของความอเนกประสงค์ คีย์บอร์ดรุ่นนี้มีให้ครบ เพราะจัดว่าอยู่ในระดับกลางถึงบนในท้องตลาด แต่ราคาย่อมลงมา คือราวสี่พันกว่าบาท เปิดมาแทบจะเท่ากับ Elite รุ่นแรก จุดต่อมาที่ยกนิ้วให้คือ งานประกอบที่ประณีต ด้วยวัสดุที่เป็นโครงโลหะกับพลาสติก ABS ที่เป็นบอดี้ และมีปุ่มที่แข็งแรงทนทาน เล่นเอาคีย์บอร์ดนี้หนักเอาเรื่อง แต่ก็ดีตรงที่ไม่เลื่อนไปมาง่ายนัก ก็เข้าใจว่า คงไม่ค่อยมีใครที่จะย้ายคีย์บอร์ดไปมาบ่อยๆ นั่นเอง จุดที่น่าจะเป็นไฮไลต์ก็คือ ปุ่มกด ที่เป็นแบบ Pudding เพราะดูแล้วเหมือนปุ่มมีสองชั้น ชั้นแรกเป็นสีดำ ตรงนี้ HyperX ทำมาได้ดี เพราะเลเซอร์ฟอนต์มาได้คมกริบ สว่างชัดทุกตัวอักษร ไม่มีเบลอหรือชัดบางตัว รวมถึงด้านล่างที่เป็นสีขาว ที่ถือว่าเป็นส่วนส่องสว่างเจิดจ้า แต่ในความสว่างนั้น สามารถปรับแสงได้ตามต้องการ ด้วยการกดปุ่มบนคีย์บอร์ดหรือจะใช้ซอฟต์แวร์ก็ตามครับ ส่วนเรื่องของความทนทาน ก็วางใจได้ ตั้งแต่บอดี้ ไปจนถึงปุ่มคีย์ และสายถักขนาดใหญ่ ที่ช่วยให้เกมเมอร์ใช้ได้อย่างอุ่นใจยิ่งขึ้น สนนราคาประมาณ 4,590 บาท ก็น่าสนใจไม่น้อยเลย
จุดเด่น
- ปุ่ม HyperX Red keycap ให้การตอบสนองไว เสียงคลิ๊กไม่ดังมาก
- บอดี้แข็งแรง น้ำหนักพอสมควร ไม่เลื่อนไปมาง่าย
- สายถักขนาดใหญ่ ให้ความทนทาน
- ควบคุมแสงไฟ และปรับแต่งปุ่มได้ง่ายผ่านซอฟต์แวร์
ข้อสังเกต
- แสงสว่างจากไฟ LED ที่ปุ่มค่อนข้างเจิดจ้า ต้องปรับความสว่างให้เหมาะสม
- เป็นสวิทช์แบบ Linear เสียงคลิ๊กเบา ต่างจาก Tactile อยู่ที่ความชอบแต่ละบุคคล
ราคา: ประมาณ 4,590 บาท
ข้อมูลเพิ่มเติม: HyperX Alloy Elite 2
0 Comments