HyperX Cloud II Wireless +7.1 ใครที่เป็นแฟนของหูฟังจากค่ายนี้ กับสไตล์ที่สวมสบาย ใส่นิ่มกระชับ น้ำหนักไม่เยอะ รวมถึงฟีเจอร์มาเต็ม กับไฮไลต์หลักที่ชูเรื่องของการเป็นหูฟังไร้สาย และยังรองรับระบบเสียง 7.1 ในการเพิ่มอรรถรสให้กับคอเกม และยังใช้งานกันได้ยาวๆ ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ไม่ต้องชาร์จกันบ่อยๆ ที่สำคัญยังปรับแต่งการใช้งานได้ทั้งบนตัวหูฟัง รวมถึงซอฟต์แวร์อย่าง NGENUITY ได้อีกด้วย กับราคาที่เคาะมาเบาๆ น่าใช้
สำหรับหูฟัง HyperX Cloud II Wireless +7.1 รุ่นนี้ เป็นแบบ Close cup ครอบหูได้เต็มใบ แต่ไซส์ไม่ใหญ่เกินไปนัก เหมาะกับผู้ใช้บ้านเราได้ลงตัว Earcup ที่มีความนุ่มนวลเดเป็นเอกลักษณ์ ด้วยเมมโมรีโฟม ที่หุ้มด้วยวัสดุแบบหนัง และมีไดรเวอร์ขนาดใหญ่ถึง 53mm พร้อมกับย่านเสียงที่กว้าง เพื่อให้รองรับการใช้งานได้หลากประเภท และสะดวกสบายด้วยการเชื่อมต่อแบบไร้สาย ด้วยคลื่นสัญญาณ 2.4GHz ให้ระยะการเชื่อมต่อได้ไกลพอสมควร และมีแบตเตอรี่ในตัว รวมถึงการชาร์จผ่าน USB Type-C ควบคุมการทำงานผ่านตัวหูฟังได้ง่าย รวมถึงไมโครโฟนแบบ Bi-directional ตัดเสียงรบกวนได้ดี และถอดออกได้ เมื่อไม่ใช้งานอีกด้วย
Specification
Headphone
- Driver: Dynamic, 53mm with neodymium magnets
- Type: Circumaural, Closed back
- Frequency response: 15Hz–20kHz
- Impedance: 60 Ω
- Sound pressure level: 104dBSPL/mW at 1kHz
- T.H.D.: ≤ 1%
- Weight: 300g
- Weight with mic: 309g: USB charge cable (0.5m)
- Battery life: 30 hours
- Wireless Range: 2.4 GHz
- Up to: 20 meters
Microphone
- Element: Electret condenser microphone
- Polar pattern: Bi-directional, Noise-cancelling
- Frequency response: 50Hz-6.8kHz
- Sensitivity: -20dBV (1V/Pa at 1kHz)
Unbox
แค่หน้ากล่องก็จะเห็นได้ว่า มีความหล่อเหลาเอาการ กับโทนสีแดงตัดกับสีขาว ดูเป็นเกมมิ่งที่สบายตาและภาพของหูฟังที่เห็นได้อย่างเด่นชัดบนหน้ากล่อง แทบจะไม่ต้องไปส่องดูของข้างในก่อน พร้อมกับรายละเอียดต่างๆ ของหูฟังไว้เกือบครบ
ด้านหลังกล่อง ก็จะเป็นข้อมูลฟีเจอร์ของ Cloud II Wireless +7.1 รุ่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นไดรเวอร์ ครอบศีรษะ และไมโครโฟน เป็นต้น
ด้านข้างจะเป็นข้อมูลฟีเจอร์เบื้องต้น ไม่ว่าจะเป็น แบตใช้ได้นาน 30 ชั่วโมง การเชื่อมต่อ WiFi 2.4GHz ครอบหูฟังเมมโมรีโฟม และเป็นหูฟังระบบเสียงรอบทิศทางเป็นต้น
เมื่อแกะกล่องด้านใน จะมีเอกสารมาให้ 3-4 ชุดด้วยกัน เช่น คู่มือการใช้งาน และเอกสารแนะนำผลิตภัณฑ์เป็นต้น
คู่มือการใช้งาน แนะนำมาอย่างละเอียดทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น การเชื่อมต่อ ฟังก์ชั่น และการติดตั้งในแบบต่างๆ
แล้วก็มาถึงตัวหูฟัง ที่แพ๊คมาในกล่องอย่างสวยงาม หลักๆ ที่เห็นจะประกอบด้วย ตัวหูฟัง, ไมโครโฟน, ตัวรับ-ส่งสัญญาณ WiFi และสาย USB สำหรับชาร์จไฟ
หน้าตาของบรรดาชิ้นส่วนต่างๆ ที่มีมาให้ในกล่อง เมื่อแกะออกมาแล้ว จะมีประมาณ 5 ชิ้นหลักๆ
ทาง HyperX ให้สายต่อ USB Type-A to Type-C มาให้สำหรับการชาร์จไฟเข้าตัวหูฟัง ซึ่งก็ค่อนข้างสะดวกทีเดียว
ไมโครโฟนในแบบ Bi-directional และเป็นแบบ Noise-cancelling ตัดเสียงรบกวนโดยรอบ
ตัวรับ-ส่งสัญญาณ WiFi 2.4GHz ที่ต่อเข้ากับพีซีหรือโน๊ตบุ๊ค ผ่านทางพอร์ต USB Type-A
ตัวหูฟัง HyperX Cloud II Wireless +7.1 มาในไซส์ขนาดพอเหมาะ ไม่ใหญ่เกินไป กับโทนสีดำ ตัดด้วยเส้นสายสีแดง ของก้านหูฟัง และบนครอบศีรษะ ทำให้ดูคล้ายกับ Cloud II แบบดั้งเดิมที่ขายดีมากๆ เลยทีเดียว
ความสดใสของสีแดงจากโลโก้ HyperX ที่ตัดกับพื้นสีดำของ Earcup ทำให้ดูโดดเด่นมากขึ้น สร้างความเป็นเอกลักษณ์ให้กับคอเกมได้ดีไม่น้อย
ด้านบนเป็นแถบคาดศีรษะที่มาพร้อมโลโก้ HyperX ขนาดใหญ่ และมีเส้นสายคล้ายกับการเดินด้ายแดง แบบเดียวกับเบาะรถสปอร์ต ที่ให้ความเป็นเกมมิ่งมากยิ่งขึ้น
ด้านในของครอบศีรษะ บุเมมโมรีโฟมมาหนาเกือบหนึ่งนิ้ว และบุวัสดุที่นุ่มสบายมาให้ จึงทำให้รับกับศีรษะผู้ใช้ สวมใส่ได้นาน เพราะค่อนข้างกระจายน้ำหนักได้ดี
ตัวของ Earcup มีปุ่มควบคุมการทำงานมาในตัวด้วย ไม่ว่าจะเป็น เพาเวอร์ เปิด-ปิดเสียง และไฟแสดงสถานะในการทำงานของหูฟัง
ส่วนด้านล่างของครอบหูฝั่งซ้าย ยังมาพร้อมพอร์ต USB Type-C ซึ่งช้สำหรับการชาร์จไฟให้กับตัวหูฟัง ซึ่งใช้เวลาไม่นานก็เต็มพร้อมใช้
ส่วนหูฟังฝั่งขวา มีปุ่มปรับระดับเสียง ด้วยการเลื่อนหมุนแบบง่าย ช่วยให้การใช้งานง่ายขึ้น
มาถึงจุดที่เป็นเอกลักษณ์ของหูฟัง HyperX นั่นคือ ความนุ่มสบายของครอบหูฟัง ที่เป็นเมมโมรีโฟม หุ้มด้วยวัสดุแบบหนัง ให้สัมผัสที่สบาย ยิ่งใครที่ใช้ในห้องปรับอากาศ จะรู้สึกได้ถึงความเย็นสบาย จึงใช้ได้นาน ไม่ปวดหรือรำคาญหู
ด้านในของ Earcup ยังปิดฟองน้ำมาบางๆ เพื่อความสวยงาม และไม่ให้เหงื่อไปสัมผัสกับชิ้นส่วนด้านในโดยตรง
หูฟัง HyperX รุ่นนี้ มาพร้อมไดรเวอร์ขนาดใหญ่ 53mm เป็นแบบแม่เหล็กนีโอดายเมียมคุณภาพสูง เพื่อให้คุณภาพเสียงที่ดี และลดการ Lost ของสัญญาณเสียงไปได้มาก
ครอบศีรษะปรับเลื่อนได้ 8 ระดับ และมีความแน่นหนาพอสมควร โดยผู้ใช้ยังปรับเลื่อนขณะที่เล่นอยู่ได้อีกด้วย ด้านข้างยังบอก Left-Right ให้เราได้ทราบ
ขนาดของหูฟัง เมื่อเทียบกับฝ่ามือของผู้ใช้ จับถือได้ง่าย เพราะน้ำหนักเพียง 300 กรัมเท่านั้น
เมื่อทำการ Pair หรือเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ค เรียบร้อยแล้ว ก็จะมีไฟสถานะแจ้ง เพื่อความพร้อมสำหรับการใช้งาน
Comfort & Style
ความรู้สึกในการใช้งาน คงต้องเริ่มต้นกันที่ความง่ายในการติดตั้ง ตั้งแต่เริ่มต้น เพราะการใช้งานก็แค่แกะออกมาจากกล่อง ต่อตัวรับ-ส่งสัญญาณเข้ากับพอร์ต USB บนพีซีหรือโน๊ตบุ๊ค จากนั้นให้ Windows ตรวจสอบ และติดตั้งไดรเวอร์ในเบื้องต้น ที่เหลือแค่กดปุ่มเพาเวอร์บนหูฟัง แค่นี้ก็พร้อมสำหรับการใช้งานได้แล้ว
ในแง่ของการปรับแต่งและใช้งาน ค่อนข้างสะดวกมากทีเดียว เพราะไม่ได้มีฟังก์ชั่นที่ซับซ้อน และส่วนใหญ่ติดตั้งมาบน Earcup ให้ใช้งานได้เลย ไม่ว่าจะเป็นปุ่ม Mute สำหรับไมโครโฟน หรือปุ่มปรับระดับเสียงบน Earcup ทางด้านขวา ซึ่งแค่เลื่อนไปมาเท่านั้น ก็เพิ่มหรือลดระดับเสียงได้ง่ายๆ แล้ว จึงเหมาะทั้งการเล่นเกมหรือใช้ในด้านความบันเทิง กับการดูหนังเป็นต้น
อีกส่วนหนึ่งนั้น ก็เป็นช่องต่อไมโครโฟน ที่เป็นแบบถอดเข้าออกได้ และยังสามารถปรับให้เข้ากับรูปปากของผู้ใช้ได้ดี ใครที่เล่นแนว Battle Royale หรือลงดันเป็นก๊วนเป็นตี้ ไมโครโฟนนี้ตอบโจทย์ได้ เพราะตัดเสียงรอบข้างได้ดีทีเดียว จากการเล่นใน PUBG เห็นได้ชัดว่าการสื่อสารผ่านไมค์นี้ ดูจะตอบโจทย์อย่างมาก แต่การเปิด-ปิดเสียง บางทีอาจไม่สะดวกนัก เพราะเป็นปุ่มเล็กๆ บนหูฟัง ไม่ได้มีบนคอนโทรลเลอร์บนสาย หรือบางรุ่นที่แค่ยกหูฟังขึ้น ก็ปิดเสียงได้ทันที อย่างไรก็ตาม ก็ขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละบุคคล เพราะหลายครั้ง การถอดไมโครโฟนจากหูฟังได้ ก็เป็นฟีเจอร์ที่หลายคนต้องการ
ในด้านของคุณภาพเสียง บอกได้เลยว่า HyperX ยังคงทำได้คงเส้นคงวา และยังทำให้กลิ่นอายความขลังของซีรีส์ Cloud ไม่ได้ลดน้อยไป แม้จะเป็นรุ่นหลังๆ มา เพราะเรื่องสเตจเสียง ยังคงมีความกว้าง ทำให้เก็บรายละเอียดของเสียงได้ดี ในการเล่นเกม ไม่ว่าจะเป็นแนวเกม ที่อยู่ในสนามรบเป็นหลัก หรือเกมแนว Racing ที่ต้องอาศัยประสาทสัมผัสในการฟังเสียงคู่แข่ง หรือคำสั่งที่เกิดขึ้น การที่แยกแนวเสียงออกมา ทำให้การตอบสนองของผู้เล่นทำได้ดีขึ้นนั่นเอง ส่วนความหนักแน่นของเสียงกลาง อาจไม่ได้หนักตึ๊บ จนถึงขนาดกระแทกกระทั้น แต่ถ้ามองในแง่ของความมันส์ในการเล่น เสียงกระสุน แรงระเบิด และการเคลื่อนไหวสิ่งต่างๆ ที่มีผลกระทบโดยรอบ ก็สร้างอารมณ์ความสนุกได้มากพอสมควร ส่วนในเรื่องของการใช้ในงานอื่นๆ เช่น ดูหนัง ก็ยังตอบสนองได้ดี ส่วนการฟังเพลงหรือเสียงคุย ก็อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของหูฟังเกมมิ่งจากค่ายนี้
จุดที่น่าสนใจคือ ใช้งานได้ค่อนข้างยาวนานเลยทีเดียว เรียกว่าเล่นเกม สลับกับดูหนัง และปิดการใช้งานหรือปล่อยให้ Sleep ไปเองบ้าง ใช้งานได้เกินวันแบบสบายๆ กับการชาร์จไฟเพียงครั้งเดียว ถือเป็นข้อดีที่สำคัญ สำหรับคอเกมที่ไม่อยากให้ขาดตอน หรือสะดุดขณะที่กำลังเล่น
Conclusion
อย่างที่ได้กล่าวไว้ในช่วงท้ายกับการทดสอบ กับสิ่งที่อยากบอกกับคอเกม ที่กำลังมองหาหูฟังคุณภาพดี ที่เป็นแบบไร้สาย ได้ระบบเสียงรอบทิศทาง 7.1 channel ใช้งานได้นาน ในราคาไม่แรงเกินไปนัก สิ่งที่ HyperX พยายามสื่อให้กับผู้เล่นนั้น มีด้วยการหลายจุด อาทิ การสวมใส่ที่สบาย ไม่อึดอัด เมมโมรีโฟม ที่ช่วยให้ผู้เล่นใช้งานได้นานขึ้น ระบบเสียงที่จัดจ้านสำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะ รวมถึงการเชื่อมต่อที่สะดวก ง่าย รวดเร็ว ทำให้เป็นกันเองกับผู้ใช้ได้ดี แต่จุดที่อาจจะไม่ได้สะดวกนัก ก็มองว่า ส่วนของ Earcup ขยับพับ 90 องศาไม่ได้ เวลาคล้องคอระหว่างพักก็คงจะติดเล็กน้อย รวมถึงปุ่ม Mute mic. ที่อยู่บนครอบหูฟัง คงไม่ได้ใช้ง่ายๆ และอาจจะเลือกปิดจากบน Windows แทน ส่วนเรื่องความคล่องตัวและสะดวกสบาย HyperX Cloud II Wireless +7.1 มีให้แบบเต็มๆ ครับ
จุดเด่น
- ครอบหูฟังนุ่ม สวมสบาย
- น้ำหนักเบาแค่ 300 กรัม โดยประมาณ
- ใช้งานแบบไร้สาย WiFi สะดวก
- ใช้ต่อเนื่องได้นาน
- ปรับเลื่อนด้วยฟังก์ชั่นบนตัวหูฟัง
- สเตจเสียงกว้าง เก็บรายละเอียดเสียงได้ดี
ข้อสังเกต
- พับหมุนหูฟังไม่ได้
- ปิดไมค์จากบนหูฟังอาจไม่สะดวกนัก
ราคา: ประมาณ 4,890 บาท
ข้อมูลเพิ่มเติม: HyperX
0 Comments