HyperX Pulsefire Haste 2 เกมมิ่งเมาส์เพื่อคอเกม FPS เล่นเกมจอใหญ่ เบา คลิ๊กนานจนลืม

HyperX Pulsefire Haste 2 เกมมิ่งเมาส์เพื่อคอเกม FPS เล่นเกมจอใหญ่ เบา คลิ๊กนานจนลืม

HyperX Pulsefire Haste 2 เกมมิ่งเมาส์ใหม่ล่าสุดจากค่าย HyperX ที่มาใน 2 เวอร์ชั่น ทั้งแบบใช้สายต่อผ่าน USB และแบบไร้สายในรุ่น Pulsefire Haste 2 Wireless กับความล้ำสมัยด้วยเซ็นเซอร์ล่าสุดของ HyperX 26K ให้ความแม่นยำสูงสุด 26,000 DPI และตั้งค่าโพรไฟล์ได้ 4 ระดับ กับสายสัญญาณ HyperFlex 2 สายถักความยืดหยุ่นสูง ทนทานต่อแรงกระทำได้ดี ปุ่มสวิทช์ที่ให้เกมเมอร์มั่นใจได้ในการใช้งาน กับอัตราคลิ๊กได้ที่ 100 ล้านครั้ง สไลด์ไปกับสไตล์เกมที่ชื่นชอบได้ดีทีเดียว เซ็ตคอมเล่นเกมของคุณให้พร้อม แล้วลุยไปด้วยกันกับเกมมิ่งเมาส์รุ่นใหม่ปี 2023 นี้

Specification

  • Onboard memory 1 profile
  • Buttons 6
  • Cable type Detachable, HyperFlex 2 USB-C to USB-A Cable
  • Cable length 1.8m
  • Connection type 2.4GHz Wireless / Bluetooth® 5.0 / Wired
  • DPI presets 400 / 800 / 1600 / 3200 DPI
  • Length 4.89in
  • Left/ right buttons durability 100 million clicks
  • Left/ right buttons switches HyperX Switch
  • Acceleration 50G
  • Polling rate Up to 1000Hz
  • Max resolution Up to 26000 DPI
  • Optical sensor HyperX 26K Sensor
  • Shape Symmetrical
  • Skate material: Virgin-grade PTFE
  • Speed: 650 IPS
  • Weight Weight: (without cable): 60g: Weight (with cable): 83g
  • Color: White
  • Charging type: USB-C
  • in the box: HyperX Pulsefire Haste 2, HyperX Grips, PTFE Skates, USB-C to USB-A Cable, USB Wireless Receiver, USB Extension Adapter, Quick Start Guide

Unbox

 

เริ่มจากการออกแบบกล่อง HyperX Pulsefire Haste 2 มาในโทนสีแดงขาว ซึ่งต่างจากรุ่นที่เป็น Wireless ที่ใช้เป็นกล่องโทนขาว-ดำ ทำให้ดูสะดุดตาทีเดียว และสีสันยังไปในแนวทางก่อนหน้านี้ คือในแบบ Gaming Style และมีกราฟิกของตัวเมาส์ให้เห็นอย่างชัดเจน ด้วยบอดี้สีขาวสว่าง กับข้อมูลฟีเจอร์ที่ใส่มาเกือบครบ ไม่ว่าจะเป็น น้ำหนักเบา มาพร้อมสายเคเบิลแบบ HyperFlex 2 และเซ็นเซอร์ HyperX 26K เป็นต้น

ด้านหลังกล่องมีรายละเอียดของอุปกรณ์ที่มีให้ในกล่อง สามารถเช็คได้จากข้อมูลที่ระบุไว้ตรงนี้

ด้านข้างก็เป็นรายละเอียดของฟีเจอร์เด่นๆ ของตัวเมาส์นั่นเอง รวมถึงระบบที่จะใช้งานร่วมกับเมาส์ HyperX รุ่นนี้

เมื่อแกะกล่องออกมา จะเห็น HyperX Pulsefire Haste 2 นอนอยู่ในกล่องอย่างสวยงาม โดยเป็นกล่องกันกระแทก ที่มีกระดาษแข็งบุอยู่ภายใน ช่วยเซฟตัวเมาส์ได้ดีในระดับหนึ่ง

เมาส์มาในโทนสีขาวสว่าง ตัดด้วยโลโก้ HyperX ทางด้านท้าย มองแล้วเหมือนแกะกล่องมือถือออกมาอย่างนั้นเลย

HyperX Pulsefire Haste 2 เป็นเมาส์แบบมีสาย หรือเชื่อมต่อผ่านสายสัญญาณ ซึ่งสายเคเบิลเป็นแบบถอดไม่ได้ เมื่อแกะตัวเมาส์ ต้องเปิดกล่องสีขาว เพื่อนำสายออกมาด้วย

สิ่งที่อยู่ในกล่องประกอบด้วยคู่มือการใช้งาน เอกสารประกอบผลิตภัณฑ์ และยังมีของเล่นในซองสีขาว ที่ใช้เสริมเป็นองค์ประกอบกับตัวเมาส์อีกด้วย

และในซองสีขาวที่ว่านั้น เมื่อเปิดซองออก จะมีเป็น Grip Tape หรือแผ่นยางที่ใช้ติดกับกริ๊ปด้านข้างของตัวเมาส์ และยังติดกับปุ่มคลิ๊กซ้าย-ขวาอีกด้วย รวมถึงชิ้นสีฟ้าๆ จะเป็น Mouse Skate ซึ่งสำรองเอาไว้ เมื่อแผ่นใต้เมาส์หาย ก็สามารถนำมาใช้ได้ทันที

ในคู่มือค่อนข้างมีรายละเอียดมากพอสมควร หากคุณไม่คุ้นเคยกับเมาส์ที่มีปุ่ม หรืออยากจะดูรายละเอียด การดูแลและการติดตั้งคู่มือนี้ช่วยคุณได้ไม่น้อยเลย

เมื่อหงายเมาส์ขึ้นมา ด้านใต้ยังมีกระดาษหุ้มอยู่อีกชั้น เพื่อป้องกันการเป็นรอย ซึ่งดูเหมือน HyperX จะใส่ใจในรายละเอียดมากขึ้น ตรงนี้คุณสามารถดึงออกไปได้เลย

ชิ้นส่วนสำรองที่เป็น PTFE Skate นี้ มีด้วยกัน 5 ชิ้น โดย 4 ชิ้นจะเป็นส่วนรอบๆ และมีตรงกลางสำหรับเซ็นเซอร์เมาส์

และยังมีชิ้นส่วนสำคัญอีก 2 ส่วนคือ อันแรกจะเป็น Grip Tape สำหรับติดบนปุ่มคลิ๊กเมาส์ซ้าย-ขวา เพื่อไม่ให้เป็นรอยดำหรือเปื้อนได้ง่าย แถมยังให้คุณคลิ๊กได้แม่นยำมากขึ้น มีด้วยกัน 2 ชิ้น ส่วนตัวของผมรู้สึกว่าเมาส์ขาวๆ ยังดูมีเสน่ห์ อาจจะยังไม่ติด

Grip ด้านข้าง ชิ้นนี้ก็คล้ายกัน เป็นวัสดุแบบยางที่มีพื้นผิว ให้คุณจะเมาส์ได้มั่นคงยิ่งขึ้น ไม่ลื่นหลุดจากมือได้ง่าย และก็เช่นเคยคือ ถ้าแถบชิ้นนี้ไม่ได้จำเป็นสำหรับคุณนัก และความโดดเด่นของเมาส์สีขาว คือสิ่งที่คุณต้องการ ก็ยังไม่จำเป็นต้องติดก็ได้ครับ

และก็ได้เวลามาเจาะเรื่องของรายละเอียดและดีไซน์ของตัวเกมมิ่งเมาส์ HyperX Pulsefire Haste 2 รุ่นนี้กันได้แล้ว


Design

เรื่องดีไซน์เราอาจจะไม่ได้เห็นเมาส์เกมมิ่งสีขาวจาก HyperX กันบ่อยมากนัก เพราะมีมาในช่วงหลังนี้เอง และ HyperX Pulsefire Haste รุ่นก่อนหน้านี้ ที่ทำออกมาในโทนสีขาว และยังมีเป็นรูแบบรังผึ้ง ก็สวยไปอีกแบบ โดยภาพรวมถือว่ามีความใกล้เคียงกันมากทีเดียว

ด้านข้างซ้ายของเมาส์เป็นจุดที่ใช้จับเป็น Grip วางนิ้วโป้ง และชิ้นส่วนที่มีให้ในกล่อง สามารถมาติดเอาไว้ตรงนี้ได้เลย รวมถึงปุ่มมาโคร 2 ปุ่ม ที่ใช้สำหรับการเป็นคีย์ลัด สามารถตั้งค่าได้ในซอฟต์แวร์ HyperX NGENUITY

ด้านท้ายของเมาส์มาพร้อมโลโก้ HyperX สีเทาเงิน อยู่บนพื้นเมาส์สีขาว แต่จะไม่ได้เป็นแสงไฟ RGB แต่อย่างใด

ส่วนทางด้านขวา จะเป็นที่จับโล่งๆ ไม่ได้มีปุ่มอื่นใดเข้ามา แต่ถ้าใครอยากจะให้จับถือได้ถนัดมือมากขึ้น สามารถติด Grip Tape ที่ให้มาในกล่องได้เลย

HyperX Pulsefire Haste 2 มาพร้อมกับการใช้งานแบบมีสาย ส่วนการต่อสายจะไม่สามารถถอดออกได้ มีขั้วยางยึดกับตัวเมาส์ไว้แน่นหนา เป็นแบบเดียวกับ Pulsefire Haste รุ่นแรก

สายที่ให้มาเป็นแบบ HyperFlex 2 มาพร้อมจุดเด่นกับการเป็นสายถักแบบนิ่ม สามารถพับหรือม้วนได้ง่าย ทำให้การจัดเก็บสะดวกขึ้น โดยเป็นสีขาวทั้งเส้น ซึ่งอาจจะเหมาะกับหลายๆ คนที่ต้องการจะให้เข้าธีมโต๊ะในโทนสะอาด แต่บางครั้งอาจจะรักษาความขาวเอาไว้ยากเหมือนกัน

ปุ่มคลิ๊กเมาส์ซ้าย-ขวา มาพร้อม HyperX Switch ระยะคลิ๊กลึกเล็กน้อย แต่ตอบสนองไว จึงเหมาะกับการเล่นเกมอย่างมาก โดยเฉพาะคอเกม FPS หรือแนว RTS จะสนุกได้การแนวการคลิ๊กแบบนี้ และที่สำคัญยังมาพร้อมกับความทนทาน ที่ทาง HyperX เคลมเอาไว้ว่า 100 ครั้งเลยทีเดียว

 

Scroll wheel สีขาวเป็นจุดเดียวที่มีแสงไฟ RGB สว่างขึ้น ให้จังหวะการเลื่อนที่ต่อเนื่อง ไม่ไหลฟรี เหมาะกับทางท่องเน็ตหรือทำงานเอกสาร แต่ในแง่ของเกม FPS ก็ทำให้การส่องของสไนป์แม่นยำขึ้นได้เช่นกัน

ด้านท้ายของเมาส์ มาพร้อมโลโก้ HyperX สีเงิน ขนาดไม่ใหญ่นัก ทำให้ดูสะดุดตา แต่น่าเสียดายที่เป็นเพียงโลโก้ที่ไม่มีแสงไฟ RGB ลอดออกมาด้วย ซึ่งน่าจะทำให้เมาส์โดดเด่นมากขึ้น

มุมมองจากทางด้านข้าง ก็จะเห็นได้ว่า HyperX ดีไซน์ให้มีส่วนเว้าเข้าไป เพื่อให้การจับสะดวกมากขึ้น โดยเฉพาะกับแถบด้านข้าง ซึ่งผู้ใช้เองจะสามารถจับได้ง่าย แม้จะเป็นมือผู้หญิงตัวเล็กๆ ก็ตาม แต่ถ้าใครต้องการจะเล่นเกมจริงจัง แนะนำว่าให้ติด Grip Tape เข้าไป ก็จะใช้ได้อย่างคล่องตัวทีเดียว

ด้านใต้ของเมาส์เรียกว่าแทบไม่ได้ต่างไปจาก HyperX Pulsefire Haste รุ่นแรกมากนัก เรียกว่าใกล้เคียงกันมาก ฟีตหรือ Mouse Skate มีให้ 5 จุด แม้จะขนาดไม่ใหญ่ แต่ก็ช่วยให้การเคลื่อนไหวลื่นไหล โดยทาง HyperX ยังให้สำรองมาอีก 1 ชุดเผื่อใช้ในโอกาสต่อไป

เมาส์ฟีตที่อยู่ด้านบน ค่อนข้างชิดขึ้นไปใกล้กับปุ่มคลิ๊ก เพื่อให้คนที่เทน้ำหนักมือหรือจับแบบ Claw เคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น

เปรียบเทียบกับ HyperX Pulsefire Haste รุ่นแรกที่มาในโทนสีดำ กับบอดี้ที่มีช่องในแบบ Honetcomb หรือรวงผึ้ง ก็อาจจะดูแตกต่างกันไปบ้าง แล้วแต่ความชอบ โดยส่วนตัวมองว่ารุ่นแรก ทำออกมาเพื่อเกิมเมอร์แบบจริงจัง เน้นเล่นเกมนานๆ สบายมือมากขึ้น แต่รุ่นใหม่ ก็มาในแบบพรีเมียม ดูสวยงาม กับพื้นฐานของสีขาว จึงเข้ากับพีซี โน๊ตบุ๊คได้อย่างลงตัว และยังนำไปใช้ได้อย่างกลมกลืน

ส่วนด้านหน้า ก็ถือว่าใกล้เคียงกันมากๆ แต่ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าปุ่มคลิ๊กของ HyperX Pulsefire Haste 2 จะมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย ซึ่งตรงนี้อาจจะมีผลต่อการใช้งานอยู่บ้าง ในแง่ของการวางนิ้วที่อิสระมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่คลิ๊กไวๆ ก็น่าจะมีผลกับบางคน

จากมุมบนนี้ เห็นได้ชัดมากๆ ระหว่าง HyperX Pulsefire Haste 2 รุ่นใหม่ มาเป็นที่ปิด Shell แล้ว ต่างจากรุ่นแรก ที่เป็นช่องระบายลมให้ ถือว่าเปลี่ยนอารมณ์ผู้ใช้ไปเยอะเหมือนกัน

ขั้วต่อสายสัญญาณเป็นแบบเดียวกัน มีตัวช่วยเล็กๆ รั้งให้ยึดกับตัวเมาส์ พอจะรับแรงดึงตึงๆ ได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ทางที่ดีควรระมัดระวังเรื่องของระยะสาย ที่อาจจะต้องรัดให้พอเหมาะ มีระยะหย่อนให้ปรับเลื่อนได้บ้าง

เทียบ Scroll wheel และปุ่มคลิ๊กกันชัดๆ ต้องถือว่าใกล้เคียงกันมากทีเดียว ถ้าได้โทนสีเดียวกัน น่าจะมองเห็นความแตกต่างได้ชัดมากขึ้น

ด้านท้ายของเมาส์มาแบบหล่อๆ ทั้งคู่ ใครวางมือแบบ Palm Grip ก็ถือว่าเต็มๆ มือวางได้สบาย ส่วนถ้าจับแบบ Fingertip ก็อาจจะไม่มีผลมากนัก

ปุ่มมาโครด้านข้างที่ใช้ปรับแต่งได้บนซอฟต์แวร์ และอย่างที่ได้กล่าวไปคือ เมาส์สีขาวแบบนี้ ค่อนข้างเสียดายเหมือนกัน หากจะนำมาติด Grip Tape ที่เป็นสีดำ โดยเฉพาะคนที่ต้องการคุมโทนให้อยู่ในแบบที่ต้องการ แต่เรามีตัวอย่างของ HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless ที่ติดตั้ง Grip Tape ให้ได้ชมกัน

 


Software

เรื่องซอฟต์แวร์ถือว่า NGENUITY ก็เป็นตัวช่วยที่ดีของผู้ใช้ที่ต้องการปรับแต่งร่วมกับ เมาส์คีย์บอร์ด และอุปกรณ์อื่นๆ ของ HyperX ที่คุณมีอยู่ได้ และที่สำคัญระบบทำงานได้รวดเร็ว และอัพเดตอยู่เสมอ รวมถึงบางครั้ง เมื่อคุณเชื่อมต่ออุปกรณ์เข้าไป ระบบจะทำการอัพเดตเฟอร์มแวร์ให้อัตโนมัติ คุณจะได้ใช้ฟีเจอร์สดใหม่อยู่เสมอ เช่นเดียวกับ Pulsefire Haste 2 รุ่นนี้ ที่อัพเดตให้แบบรวดเร็ว และสามารถใช้งานได้ทันทีที่ระบบ Detect พบ

โดยในแง่ของการปรับแต่งแสงไฟ เพื่อความสวยงาม ในแท็ป Lights คุณสามารถเข้าไปเพิ่มเอฟเฟกต์แสงไฟ และลูกเล่นต่างๆ เข้าไปในนี้ได้ เพียงแต่แสงไฟที่สว่างขึ้นนั้น จะอยู่ที่ Scroll Wheel เท่านั้น ดูเป็นแบบมินิมอล แต่ก็น่าจะถูกใจบางท่าน ที่ไม่ชอบแสงไฟมารบกวน ขณะที่กำลังอยู่ในสมรภูมิเดือดๆ อยู่นั่นเอง

ขยับมาที่ Buttons ตรงนี้ จะให้คุณตั้งค่าปุ่มในการโปรแกรมปุ่มให้ทำงานตามที่ต้องการ ซึ่งใช้ได้ในทุกด้าน ไม่ว่าจะทำเป็นคีย์ลัด แบบไม่ต้องกดคีย์บอร์ด หรือจะเป็นปุ่มท่าไม้ตาย หรือการใช้เป็นคำสั่งพิเศษ ก็ทำได้เช่นเดียวกัน มีให้เลือกอยู่หลายรูปแบบ เลือกตามต้องการ แล้วกด Save to Mouse ได้เลย

 

นอกจากนี้คุณยังปรับเลือกโพรไฟล์เซ็นเซอร์ที่ใช้บ่อยๆ ได้ โดยระบบจะมีให้เลือก 4 โพรไฟล์พื้นฐาน บนความละเอียด 400/ 800/ 1600 และ 3200DPI และแยกเป็นสีต่างๆ ไว้ให้ ซึ่งจะสังเกตได้ตรง Scroll Wheel นั่นเอง และเมื่อเลือกได้ตามต้องการแล้ว ก็เลือกบันทึกเป็น Preset ซึ่งจะเป็นการรวมเอาที่คุณตั้งค่าทั้งหมดเอาไว้ ไปใช้ที่เครื่องอื่น แค่เอาเมาส์ คีย์บอร์ดนี้ไปใช้ ก็แค่เลือก Preset ที่ต้องการเท่านั้น


Experience

มาเริ่มการใช้งานกันครับ สำหรับ HyperX Pulsefire Haste 2 ที่เป็นแบบใช้สายนี้ ใช้งานได้ง่าย ไม่ซับซ้อน เพราะมีแค่พอร์ต USB และ OS ที่ใช้รองรับ ซึ่งปัจจุบันก็สามารถงานได้เกือบทั้งหมดแล้ว เมื่อระบบ Detect พบแล้ว ก็ใช้งานได้ทันมทีภายในไม่กี่วินาที

ในแง่ของการดีไซน์ น่าจะอยู่ในเกณฑ์ของเมาส์ขนาดกลาง เหมาะกับคนเอเซีย เพราะมิติไม่ใหญ่จนเกินไป และยังเป็นแบบสมมาตรคือ ใช้ได้ทั้งมือซ้ายและขวา แต่ถ้าต้องการใช้งานปุ่มมาโครที่นิ้วโป้งแล้ว ต้องใช้กับมือขวาเท่านั้น วัสดุพลาสติก จับได้สบายมือ แต่บางครั้งถ้าเล่นนาน จนเหงื่อออก ก็จะมีลื่นๆ นิดหน่อยครับ

การเคลื่อนไหวบนเมาส์แพด HyperX ยังคงให้ความสำคัญกับการเลื่อนเมาส์ที่คล่องตัว โดยที่มี Mouse Skate มาให้ถึง 5 จุด และยังสำรองมาเผื่อไว้ให้อีก 1 ชุด ซึ่งการใช้งานจัดว่าลื่นไหล ซึ่งหากคุณเป็นเกมเมอร์ เล่นเกมแนว Action FPS แล้วต้องวาดปลายกระบอกปืน เพื่อยิงศัตรูในระยะต่างกัน ตรงนี้จะเห็นผลชัดเจน เพราะคุณจะมีระยะการยิงที่หวังผลได้มากขึ้น และโอกาสที่ไวกว่า แต่ตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชำนาญด้วย

ส่วนตัวเป็นคนที่เล่นทั้งสไตล์ของเกม Action, RTS และ MMORPG ซึ่งในแต่ละเกม มีการใช้งานที่ต่างกันไปอยู่บ้าง เพราะบางเกม คุณแทบไม่ต้องปรับแต่งมาก แค่เลื่อนเมาส์ไปให้ได้เร็วๆ และใช้ Scroll Wheel ที่จัดระยะได้ง่าย อย่างเช่นเล่นเป็นสไนป์ หรือไปลุยในดงศัตรู ก็มีโอกาสให้คุณชนะหรือรอดมาได้ อย่างเกม Survival ก็เป็นอีกแนวที่ชอบ การยัดมาโครเข้าไปในคีย์ ใช้ในการหลอกล่อซอมบี้ หรือโจมตีแบบระยะไกล HyperX รุ่นนี้ ยังตอบโจทย์ได้อย่างสนุก แต่ส่วนหนึ่งยังคงต้องปรับตัวเล็กน้อย ให้สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวและจัดระยะยิงที่เหมาะสม

เรื่องของอารมณ์ในการกดและการตอบสนอง ผมว่ายังไม่ต่างไปจาก Pulsefire Haste รุ่นแรกมากนัก โดยเฉพาะจังหวะการคลิ๊ก แทบจะเหมือนกันเลย แต่ข้อดีคือ กดไม่ลึกมาก แต่ตอบสนองได้ไว ถ้าการคลิ๊กรัวๆ คือหัวใจหลักของคุณ เมาส์รุ่นนี้ให้คุณได้ เท่าที่ทดลองใช้มา 10 วันเอาแบบหฤโหด กดหนักๆ คลิ๊กกระจาย ก็ยังไม่มีอาการเบิ้ลหรือหลอนแต่อย่างใด อีกทั้งทำสมดุลได้ดี ไม่ว่าจะลงน้ำหนักปลายปุ่มหรือร่นขึ้นมา ยังตอบสนองได้เหมือนเดิม ได้ทุกรูปแบบการจับ

 

 

 

 

 

 

 

 

อีกการทดสอบใช้งานก็คือ ทำงานเอกสาร และงานด้านตัวเลข การท่องเน็ต ก็ให้ความรู้สึกที่ดีได้เช่นกัน ทั้งในแง่ของการเคลื่อนเมาส์ที่ไหลลื่น บวกกับการคลิ๊กปุ่มที่ไม่หนักเกินไป และวางมือลงบนเมาส์แบบพอดีๆ ใครทำเอกสารเยอะๆ ก็ถือว่าเป็นตัวช่วยที่ดีทีเดียว แต่ถ้าให้ดีจะใช้จริงจัง ยังคงย้ำว่าติด Grip Tape ดีกว่าครับ

สุดท้ายคือ รูปแบบการใช้งานด้านทำภาพ กราฟิก ตรงนี้ใครที่ใช้จอใหญ่ ความละเอียดสูง จะได้ประโยชน์แบบสุดๆ ครับ เพราะคุณสามารถตั้ง DPI สูงๆ ได้เลย เพื่อให้การเคลื่อนไหวคล่องตัวขึ้น จากที่ได้ลองกับจอ 29″ ความละเอียด 4K กับจอ HyperX Armada 27″ 2K เห็นได้ชัดว่าการเลื่อนเมาส์ไปแก้ไข ปรับเปลี่ยนหรือลากเส้นต่างๆ ทำได้ง่ายกว่า ซึ่งตรงนี้หากคุณได้ปรับเปลี่ยนความละเอียด DPI ได้อย่างเหมาะสมแล้ว จะทำให้การเลื่อนเมาส์เป็นไปตามที่คุณต้องการได้เลย


สรุปการใช้งาน

สุดท้ายนี้ก็คงต้องอยู่ที่ผู้ใช้เป็นผู้พิจารณาว่า HyperX Pulsefire Haste 2 สอดคล้องกับการใช้งานของคุณมากเพียงใด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้งานและเล่นเกม เพราะบางครั้งการเล่นเกม ก็อาจจะไม่จำเป็นต้องไร้สายก็ได้ ยกเว้นว่าคุณซีเรียสที่จะให้โต๊ะดูมีระเบียบสวยงาม ไม่อยากจะเก็บสายให้วุ่นวาย เมาส์รุ่นนี้ยังมีที่เป็นแบบไร้สายให้เลือกใช้อีกด้วย แต่จุดเด่นที่เห็นได้ในทุกช่วงการใช้งานก็คือ ความลื่นไหล และการคลิ๊กที่สอดคล้องกัน ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกม หรือทำงาน แม้ว่าจะไม่ได้มีปุ่มมาโครเยอะแยะ หรือดีไซน์ให้ดูเกมมิ่งจัดๆ แต่ก็เข้ากันได้กับทุกช่วงเวลา หรือสถาานที่ ซึ่งไม่ดูให้เด่นจนเกินไป ความเรียบง่ายด้วยโทนสีขาวแบบนี้ ก็ทำให้ดูสบายตา เป็นกันเองได้ แต่หลายคนก็อาจจะรู้สึกว่า ถ้ามีแสงไฟมากกว่านี้อีกหน่อย ก็คงดี อย่างเช่นตรงโลโก้ HyperX ที่วางมือหรือด้านข้าง ก็จะเสริมความาสวยงามได้ไม่น้อยเลย เอาเป็นว่าตรงความสวยงาม ก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนครับ ชื่นชอบแบบไหน ก็เลือกใช้งานกันได้ตามสะดวก ราคาของ HyperX Pulsefire Haste 2 ยังไม่เป็นทางการ เมื่อเปิดตัวแล้วเราจะมาอัพเดตให้อีกครั้งครับ

0 Comments

แสดงความคิดเห็น

*ข้อความหรือข้อความที่แสดงในโฟส เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นในระบบโดยอัตโนมัติจากสมาชิก ซึ่งทีมงานไม่ได้มีส่วนหรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ หากพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานเพื่อดำเนินการต่อไป..