Review – หูฟังเกมมิ่ง HyperX Cloud Flight S หูฟังไร้สาย 7.1 สวมสบาย ควบคุมง่าย

Review – หูฟังเกมมิ่ง HyperX Cloud Flight S หูฟังไร้สาย 7.1 สวมสบาย ควบคุมง่าย

ในบรรดาหูฟังเกมมิ่งที่มีจำหน่ายอยู่มากมายในท้องตลาด HyperX Cloud ก็ถือเป็นอีกซีรีส์หนึ่งที่ได้รับความนิยมไม่น้อยในบ้านเรา เนื่องจากคุณภาพและการออกแบบที่ตอบความต้องการได้ดี เช่นเดียวกับทั่วโลก HyperX เอง ก็มียอดจำหน่ายหูฟังไม่น้อยเลย นอกจากคุณภาพแล้ว ยังมีไลน์ผลิตภัณฑ์ที่เป็น หูฟังเล่นเกม ออกมาอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็น Cloud Alpha, Cloud Stinger, Orbit รวมถึงครอบคลุมทั้งพีซีและเครื่องเล่นเกมคอนโซล เช่นเดียวกับหูฟัง HyperX Cloud Flight S รุ่นใหม่ ที่ได้รับมาทดสอบในครั้งนี้ ก็เป็นรุ่นที่มีความโดดเด่นน่าสนใจ เพราะนอกจากจะเป็นหูฟังไร้สายใช้งานง่าย ยังรองรับการชาร์จไร้สาย และฟีเจอร์ Surround 7.1 อีกด้วย

HyperX Cloud Flight S สำหรับหูฟังเกมมิ่งรุ่นนี้ ถือเป็นรุ่นล่าสุด อยู่ในซีรีส์ Cloud ที่ให้คุณสมบัติสำหรับการเล่นเกมเป็นหลัก ด้วยไดร์เวอร์ขนาดใหญ่ 50mm และรองรับระบบเสียงรอบทิศทาง 7.1 กับเอกลักษณ์ที่โดดเด่นคือ เมมโมรีโฟม ที่มีความนุ่มนวล ทาง HyperX ยังเน้นการออกแบบให้ดูพรีเมียม ด้วยการหุ้มวัสดุแบบหนัง เพื่อความสบายในการสวมใส่ คุณสมบัติที่น่าสนใจอยู่ที่รองรับการเชื่อมต่อไร้สาย 2.4GHz เช่นเดียวกับสามารถชาร์จไร้สาย ร่วมกับอุปกรณ์ชาร์จ Qi-certified ได้อีกด้วย พร้อมการควบคุมฟังก์ชั่นต่างๆ ผ่านทางตัวหูฟังได้ทันที หรือจะปรับแต่งการใช้งานผ่านซอฟต์แวร์ HyperX NGENUITY ได้อีกด้วย จึงช่วยให้การใช้งานสะดวกมากยิ่งขึ้น สนนราคาของหูฟังอยู่ที่ประมาณ 5,990 บาท

 

สเปค HyperX Cloud Flight S

  • ไดร์เวอร์: 50 มม. แบบไดนามิคพร้อมแม่เหล็กนีโอดีเนียม
  • ประเภท: แบบครอบเต็ม ปิดด้านหลัง
  • ความถี่: 10Hz–20kHz
  • ความต้านทาน: 32 Ω
  • ระดับแรงดันเสียง: 99.5dBSPL/mW ที่ 1kHz
  • T.H.D.: < 1%
  • น้ำหนัก: 310 ก.
  • น้ำหนักพร้อมไมค์: 320 ก.
  • ความยาวและประเภทสายต่อ: สายชาร์จ USB (1 ม.)
  • ไมโครโฟน
  • ส่วนประกอบ: ไมโครโฟนอีเล็คเตรทคอนเดนเซอร์
  • รูปแบบขั้ว: สองทิศทาง พร้อมระบบตัดสัญญาณรบกวน
  • การตอบสนองความถี่: 50Hz-18kHz
  • ความไว: -40.5dBV (1V/Pa at 1kHz)
  • เวลาใช้งานแบตเตอรี่1: 30 ชั่วโมง
  • ช่วงสัญญาณไร้สาย4: 2.4 GHz
  • สูงสุด: 20 เมตร

 

รูปแบบ และคุณสมบัติ

หน้ากล่องของหูฟัง HyperX Cloud Flight S รุ่นนี้ จะยังมีในโทนสีขาว คาดด้วยลายและโลโก้สีแดงแบบเดียวกับในหลายๆ รุ่น

ด้านหลังมาพร้อมกราฟิกของตัวหูฟัง ซึ่งบอกฟีเจอร์สำคัญมาด้วย อาทิ การเปิด-ปิดไมค์ หูฟังหมุนได้ 90 องศา และการปรับเสียงในเกมและการสนทนาได้ตามต้องการ

คู่มือมีมาให้ในกล่อง ค่อนข้างสำคัญเลยทีเดียว โดยเฉพาะใครที่ไม่คุ้นเคยใช้หูฟังแบบไร้สายมาก่อน แนะนำเลยว่าต้องอ่านคู่มือครับ

อุปกรณ์ที่บันเดิลมาด้วยอีกชิ้นก็คือ ไมโครโฟน แบบที่ถอดออกได้ หากดูหนังฟังเพลง ก็อาจจะถอดออก ส่วนถ้าจะเล่นเกมเป็นทีม ต้องสนทนากับเพื่อนๆ ก็ใส่เข้าไปได้ ปรับพับงอได้ตามสะดวก

สายต่อสำหรับการชาร์จไฟให้กับหูฟัง ผ่านพอร์ต USB แต่ถ้าคุณมีอุปกรณ์ชาร์จไร้สาย ก็น่าจะสะดวกขึ้น

มีโลโก้ HyperX บนหูฟัง จะอยู่ที่ครอบศีรษะด้านบน ไม่ค่อยโดดเด่นมากนัก แต่ก็น่าจะเป็นที่ชื่นชอบสำหรับคนที่ไม่เน้นความหวือหวา

โครงสร้างของหูฟัง ไม่ได้ต่างไปจาก ซีรีส์ Cloud ในหลายๆ รุ่นมากนัก และไม่เน้นโครงสร้างที่ซับซ้อนยิบย่อย พอใช้งานได้สะดวก

จุดสำคัญของหูฟังรุ่นนี้ จะรวบรวมอยู่บน Earcup เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ปุ่มเปิด-ปิดเพาเวอร์, ปุ่ม 7.1 และ ปรับระดับเสียง เป็นต้น ในช่วงแรกๆ อาจจะยังไม่คุ้นดี แต่ใช้ไปสักระยะก็จะถนัดมือมากขึ้น

ครอบหูฟังเป็นแบบปิด ด้านในมาพร้อมไดรเวอร์ไดนามิก 50mm และมีเมมโมรีโฟม หนาพิเศษ หุ้มด้วยวัสดุแบบหนัง ให้สัมผัสที่สบาย เอาใจคอเกมที่ชอบเล่นนานๆ ให้รู้สึกสวมสบาย สิ่งนี้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ HyperX

โครงเป็นโลหะ มีความยืดหยุ่น ครอบด้วยพลาสติกอีกชั้น เพื่อความสวยงาม ยืดออกได้พอสมควร เพื่อปรับให้เข้ากับศีรษะของผู้ใช้แต่ละคน

ด้านข้างปรับระดับได้ประมาณ 10 ระดับ เพื่อให้ใช้งานได้สะดวก ยังรองรับการปรับเลื่อนระหว่างการเล่น ไม่เกี่ยวดึงเส้นผมให้เสียอารมณ์

เมื่อยืดระยะออกมาสุดทั้ง 2 ข้าง จะเห็นว่าสามารถปรับให้เข้ากับรูปทรงศีรษะผู้ใช้ได้สบาย ตั้งแต่ศีรษะเด็ก ผู้หญิง ไปจนถึงคนตัวใหญ่

จุดที่น่าสังเกต คือ Earcup ทางด้านซ้าย ที่จะไม่เหมือนฝั่งขวา เนื่องจากมีปุ่มควบคุมมาให้ ในการปรับฟังก์ชั่นภายในเกม รวมถึงยังโปรแกรมให้ทำงานในโหมดอื่นๆ ได้ ผ่านทาง HyperX NGENUITY ตามภาพด้านล่างนี้

มาดูกันชัดๆ บนหูฟังทางซ้ายมือ จะประกอบด้วย ช่องต่อไมค์ ช่องเสียบชาร์จไฟ ปุ่มปรับ 7.1 และปุ่มเพาเวอร์

ด้านหน้านั้น จะเป็นปุ่มสำหรับควบคุมการทำงานของเสียงและการสนทนาทภายในเกม จุดสำคัญคือ จะใช้สำหรับการชาร์จไร้สายอีกด้วย

เมื่อต่อไมค์ออกมาแล้ว หน้าตาจะเป็นแบบนี้ โดยไมค์นั้นสามารถปรับงอ ให้เข้ากับรูปหน้าได้ตามสะดวก

ความหนาของเมมโมรีโฟม ที่มีมาบนหูฟัง Cloud Flight S รุ่นนี้ จะเห็นได้ว่า ค่อนข้างหนาเลยทีเดียว กดแล้วจมลงไปเยอะเลย ซึ่งสัมผัสสบาย แม้จะใช้เวลานานๆ ตรงจุดนี้ น่าจะเป็นคะแนนที่ดี สำหรับหูฟัง เพราะน่าจะให้ความ Comfort ในการเล่นเกมระยะยาว และยังลดเสียงรบกวนได้ดีอีกด้วย

ตัวรับ-ส่งสัญญาณเป็นแบบ USB Type-A คงต้องบอกว่า อาจจะใหญ่ไปนิดนึง ถ้าเป็นไปได้ HyperX น่าจะปรับให้มีขนาดที่เล็กลงกว่านี้ โดยเฉพาะคนที่ใช้โน้ตบุ๊กในการเล่น จะค่อนข้างเกะกะพื้นที่พอสมควร

มาว่าที่ความรู้สึกในการสวมใส่กันบ้าง ฟิลลิ่งในการสวมใส่ของ ผู้หญิงและผู้ชาย แทบไม่ต่างกันมาก อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า HyperX ไม่ได้ออกแบบให้ชิ้นส่วนซับซ้อนมากมาย และค่อนข้างยืดหยุ่น จึงทำให้การสวมง่ายและมีน้ำหนักที่เบา แต่ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้มีข้อจำกัดเล็กน้อย ด้วยโครงสร้าง ที่ไม่อาจจะไม่ได้ขยายกว้างมากนัก อย่างไรก็ดี สามารถรองรับศีรษะคนทางเอเซียได้ไม่ยาก และที่สำคัญน้ำหนักหนีบได้แน่นพอควร ทำให้การเคลื่อนไหวไปมาสะดวก ส่ายหัวแรงๆ ยังไม่หลุด!

จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของหูฟังรุ่นนี้ ยังอยู่ที่ ครอบหูหมุนได้ 90 องศา จึงคล้องคอได้ แบบไม่อึดอัด ซึ่งดูเหมือนว่า ยิ่งเข้ากับการเป็นหูฟังไร้สายได้ดี เพราะคล้องคอได้ ไม่ต้องวางทิ้งที่โต๊ะ แล้วค่อยมาสวมใหม่

ชาร์จไฟแบบไร้สาย Qi ด้วย ChargePlay Base

ทีนี้มาถึงเรื่องของอุปกรณ์สำหรับชาร์จไฟกันบ้าง ทาง HyperX นำเสนอทางเลือก ChargePlay Base สำหรับชาร์จไฟให้กับผู้ที่ใช้หูฟัง Cloud Flight S รุ่นนี้ ไม่ต้องต่อสายไฟไปที่หูฟังให้ยุ่งยาก แค่วางลงบนแท่น ก็ชาร์จได้แล้ว โดยสามารถชาร์จได้พร้อมกัน 2 อุปกรณ์

จุดชาร์จนั้นจะอยู่ทางฝั่งที่มีสัญลักษณ์ Qi โดยจะเป็นพอร์ต USB Type-C แค่ต่ออแดปเตอร์กับปลั๊ก แล้วต่อสายเข้าแท่นชาร์จได้เลย

หน้าตาออกมาก็จะดูเท่ๆ หน่อย โดยอุปกรณ์ที่นำมาชาร์จ จะต้องสนับสนุน Qi-certified ซึ่งถ้าเป็นอุปกรณ์จาก HyperX ก็จะมีในส่วนของเมาส์เกมมิ่ง Pulsefire Dart มาเพิ่ม ชาร์จได้พร้อมกัน

เมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว ก็จะมีไฟปรากฏอยู่บนอุปกรณ์ สังเกตง่ายๆ ก็คือ ถ้าไฟสีแดงกระพริบถี่ๆ นั่นหมายถึง ไม่พร้อมสำหรับการใช้งาน แต่ถ้ากระพริบแบบเรืองๆ เป็นจังหวะ แสดงถึงกำลังทำงานตามปกติ

เมื่อชาร์จไฟ ให้สังเกตไฟสีเขียวบนตัวหูฟังไปพร้อมๆ กัน โดยไฟสถานะของหูฟัง ถ้าสีแดง จะหมายถึงมีแบตต่ำ, เขียวกระพริบ จะอยู่ที่ 15-90% และถ้าไฟสีเขียวนิ่งๆ หมายถึงแบตเต็มแล้ว

คราวนี้มาดูการทดสอบกันบ้าง สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าจะใช้งานหูฟัง HyperX Cloud Flight S นี้อย่างไร มาดูตามขั้นตอนนี้ครับ

  • เสียบ USB Adapter ลงบนพอร์ต USB ของพีซีหรือโน้ตบุ๊ก
  • ระบบจะ Detect และติดตั้งไดรเวอร์พื้นฐานให้
  • กดปุ่มเพาเวอร์บนหูฟัง จากนั้นไฟจะกระพริบถี่ๆ รอจนกว่าหูฟังจะเชื่อมต่อกับอแดปเตอร์ สังเกตว่า Windows จะรายงานให้ทราบว่าการเชื่อมต่อเสร็จสิ้น และระบุว่าเป็นหูฟัง Cloud Flight S
  • แนะนำว่าควรติดตั้งซอฟต์แวร์ HyperX NGENUITY เพื่อใช้ในการปรับตั้งค่าของหูฟังรุ่นนี้

เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น ก็พร้อมสำหรับเล่นเกมแล้วครับ

สำหรับซอฟต์แวร์ HyperX NGENUITY เมื่อติดตั้งแล้ว โปรแกรมจะตรวจสอบฮาร์ดแวร์ที่ติดตั้ง แต่กรณีนี้คุณต้องไม่ได้ชาร์จอยู่บนแท่นชาร์จไร้สาย เพราะระบบจะไม่เช็คว่าฮาร์ดแวร์ทำงานอยู่

เมื่อคลิ๊กที่ Headset ทางด้านซ้าย จะปรากฏหน้าต่างของหูฟังขึ้น ด้านล่างจะมีให้ปรับค่าพื้นฐาน ประกอบด้วย ระดับเสียง ระดับไมโครโฟน เปิด-ปิด Sidetone และจะเลือกเปิด ระบบเสียง 7.1 และการปรับสมดุลเสียงเกมและการสนทนา

ในแท็บ Buttons ด้านบน จะเป็นส่วนที่ใช้ในการตั้งค่าควบคุมให้กับปุ่มบนหูฟังด้านซ้าย ประกอบด้วย 4 ปุ่ม ให้เลือกโปรแกรมตามต้องการ ไม่ว่าจะตั้งเป็น Sidetone, Game Mixer, Chat, Mic หรือ เปิด-ปิดเสียง Plaqy-Pause เป็นต้น ต้องใช้สักพักถึงจะคุ้นเคย เพราะบางครั้งอาจกดผิดก็ได้เหมือนกัน โดยเฉพาะเวลาที่มือไปโดน

อีกจุดหนึ่งคือ Settings ในส่วนนี้ จะให้ผู้ใช้เลือกการทำงานของซอฟต์แวร์นี้ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดโปรแกรมอัตโนมัติ แจ้งเตือนหรือการอัพเดตก็ตาม

อีกส่วนหนึ่งก็สำคัญ นั่นคือการตั้งพรีเซ็ต ที่ให้คุณเก็บการตั้งค่าเอาไว้ได้ โดยเฉพาะเมื่อใช้งานร่วมกับคนอื่น หรือจะใช้เล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง ก็แยกจากกันได้ ไม่ต้องมาตั้งค่ากันใหม่

ประสิทธิภาพ

รีวิวในแง่ของการติดตั้งใช้งาน และฟังก์ชั่นของหูฟังกันไปแล้ว คราวนี้เรามาพูดถึงเสียงและความรู้สึกกันบ้าง ในแง่ของเสียงเอาแบบเดิมๆ ไม่ได้มีการปรับแต่ง เสียงพื้นฐานจะเน้นที่กลางและต่ำ ตามสไตล์ของหูฟังเกมมิ่ง ให้เสียงเอฟเฟกต์และการการเคลื่อนไหวได้ดี ด้วยสเตจเสียงค่อนข้างกว้าง จึงเก็บรายละเอียดเสียงใกล้ตัว อารมณ์การเล่นก็จะกระเจิดกระเจิงหน่อย โดยเฉพาะคนที่ไม่ค่อยคุ้นกับหูฟังแนวนี้ ยิ่งถ้าเป็น 7.1 ที่เป็น Surround sound ด้วยแล้ว บรรดาเสียงก๊อกแก๊กๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดประตู เก็บอาวุธ หรือการ Reload กระสุน ก็เติมความสนุกได้ดี เช่น การเล่น PUBG เมื่อคุณอยู่กลางดงกระสุน แม้จะรู้สึกว่าเป็นผลดี กับการจับทิศทางเสียงได้ง่ายขึ้น แต่ก็ทำให้ตื่นเต้นจนต้องระวังมากขึ้นเช่นกัน ยิ่งเป็นเสียงศัตรู ที่เข้ามาใกล้คุณหรือไล่ตามหลัง หรือสไนป์มาจากระแวกใกล้เคียง ก็ยิ่งทำให้คุณต้องตื่นตัวมากขึ้น เช่นเดียวกับการเล่น GTAV และ Battlefield V ในช่วงที่โดนระเบิดรถถังชุดใหญ่ลง กับการโดนรุมโจมตีรอบด้าน บางครั้งก็เล่นเอางงไปพักใหญ่ เพราะเสียงมาทุกทิศทางจริง ซึ่งผลจากตรงนี้ก็เชื่อว่าจะรวมไปถึงการเล่นแนว MOBA และ Racing ด้วยเช่นกัน ใครที่อยากสัมผัสกับอารมณ์ความเดือดเช่นนี้ต้องลองครับ

 

จุดเด่น

  • พับได้ 90 องศา คล้องคอสะดวก พกพาง่าย
  • เสียง Surround 7.1 ตอบสนองในการเล่นเกมได้ดี
  • ให้สัญญาณชัดเจน ทั้งในช่วงการสนทนาและเกม
  • ใช้งานได้ค่อนข้างนาน ต่อการชาร์จแต่ละครั้ง
  • รองรับการชาร์จแบบไร้สาย

จุดสังเกต

  • ขนาดค่อนข้างใหญ่ เมื่อเทียบกับหูฟังที่ใกล้เคียงกัน
  • ไม่เน้นเรื่องสีสันและแสงไฟ

ราคา: ประมาณ 5,990 บาท สำหรับ HyperX Cloud Flight S, ส่วน ChargePlay Base 1,790 บาท

ข้อมูลเพิ่มเติม: คลิ๊ก

0 Comments

แสดงความคิดเห็น

*ข้อความหรือข้อความที่แสดงในโฟส เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นในระบบโดยอัตโนมัติจากสมาชิก ซึ่งทีมงานไม่ได้มีส่วนหรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ หากพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานเพื่อดำเนินการต่อไป..